ขายครีมออนไลน์ต้องรู้จักลูกค้า เทคนิคง่ายๆ ที่ทำให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

เคยไหมคะ? เดินออกจากบ้านด้วยความตั้งใจที่จะซื้อครีมทาหน้าสักกระปุกนึง แต่พอไปถึงร้านกลับเลือกซื้อลิปติกที่กำลังจัดโปรโมชั่นลดราคาอยู่เฉยเลย บางครั้งถึงขนาดว่ากลับบ้านทั้งๆ ที่ไม่ได้ของที่ตั้งใจจะซื้อ

ที่ถามประโยคนี้ขึ้นมา ไม่ใช่อะไรนะคะ แต่อยากจะบอกว่า…
สำหรับมุมของของนักการตลาดแล้ว เราเชื่อว่าต่อให้ลูกค้าอยากได้อะไร หาข้อมูล เตรียมความพร้อมในการซื้อมามากแค่ไหน สุดท้ายแล้วเค้าก็สามารถเปลี่ยนใจได้อยู่ดี

วันนี้ WisdomPak ก็เลยจะพาทุกคนมาดูกันค่ะว่า จะทำยังไงให้ลูกค้าเปลี่ยนใจมาซื้อเครื่องสำอางของเรา เอาแบบชนิดที่เรียกว่า ขายดีจนฉุดไม่อยู่ ว่าแล้วก็มาศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคกันเลยดีกว่า

ทุกวันนี้พฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมาก คนส่วนใหญ่จดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ กว่า 70% หาข้อมูลที่ต้องการผ่านมือถือ และเป็นฝ่ายเลือกว่าอยากเห็นอะไร อยากรู้อะไรเข้า Google อะไรที่ไม่อยากรู้ก็จะไม่สนใจ พร้อมที่จะกดปิด เลื่อนหนีได้ตลอดเวลา และที่สำคัญพวกเขาจะเชื่อในสิ่งที่คนอื่นบอก (Influencer) มากกว่าสิ่งที่แบรนด์พยายามจะบอก พวกเค้าค้นหาทุกรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นสิ่งที่แบรนด์และนักการตลาดต้องทำคือ เรียนรู้ Consumer Journey เพื่อที่เราจะเข้าใจผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด

รู้จักพฤติกรรมของลูกค้า ง่ายๆ ใน 5 ขั้นตอน 

1. Awareness หมายถึง การรับรู้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทใดก็ตาม เมื่อลูกค้าต้องการข้อมูล ผู้บริโภคจะวิ่งเข้าหาแบรนด์ก่อน และค่อยๆ ขยายไปสู่ช่องทางอื่นๆ เพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ สำหรับเจ้าของแบรนด์ที่ใหม่ที่สินค้ายังไม่เป็นที่รู้จัก จำเป็นอย่างยิ่งที่จะหาทางทำให้เกิดการรับรู้ให้ได้ว่ามีแบรนด์เครื่องสำอางของเราอยู่บนโลกใบนี้

แต่ก่อนที่จะให้ลูกค้ารู้จักเรา อย่างน้อยๆ เราต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า

ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรานั้นอายุเท่าไหร่? เพื่อการสื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย เช่น เตรียม Content ที่เหมาะกับลูกค้าในช่วงอายุนั้นๆ สร้างโฆษณาบนสื่อต่างๆ ได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสิ่งที่สำคัญคือ ทำอย่างไรจะทำให้ลูกค้าของเรา หยุดนิ้วโป้งไม่เลื่อน News Feed หนีเราไปก่อน (รูปสวยๆ ของแพคเกจจิ้งสินค้าที่ดูดีมีราคา น่ารัก สีสวย สามารถดึงดูดลูกค้าของเราได้มากกว่าข้อความธรรมดาถึง 6 หมื่นเท่า)

ลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเรานิยมใช้สื่ออะไรเป็นหลัก? เราต้องรู้ให้ได้ว่าลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของเราอยู่บน facebook, twitter, instagram หรือที่ไหนกันแน่ มี Social Media อื่นๆ ที่เค้าใช้กันอีกมั้ย กลุ่มเป้าหมายของเราออนไลน์เวลากี่โมง เพื่อที่เราจะสามารถนำสินค้าของเรา กระจายเข้าไปอยู่ในสื่อต่างๆ ที่ลูกค้าสนใจ ให้ถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้ลูกค้าเห็นเราให้ได้

เช่น ถ้าหากเราจะขายครีม ขายเครื่องสำอาง เราอาจจะใช้วิธีซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊ค เพราะคนส่วนใหญ่เล่น facebook ทุกวัน, โฆษณาหรือโพสต์ฝากร้านใน IG เพราะสาวๆ ที่สนใจความสวยความงามมักจะ follow คนที่เค้าสนใจ ทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ แต่อย่าถี่จนทำให้รู้สึกว่าน่ารำคาญ

2. Consideration หมายถึง ความตั้งใจซื้อสินค้า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มักจะมีแบรนด์อยู่ในใจ และมีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าที่ตัวเองรู้จัก แต่ถ้าเจอเครื่องสำอางแบรนด์อื่นๆ ที่น่าสนใจกว่า ก็พร้อมจะเปลี่ยนใจทันที ดังนั้นนอกจากจะทำให้ลูกค้ารู้ว่ามีเราอยู่ ก็ต้องทำให้เราดูน่าสนใจ เพื่อทำให้ลูกค้าอยากหาข้อมูลว่าเครื่องสำอางของเราดีกว่ายังไง ทำไมต้องตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางของเรา เช่น เครื่องสำอางของเราคุณภาพดีกว่า แพคเกจจิ้งดีกว่า ใช้แล้วรู้สึกได้ว่าดี มีหลายคนรีวิวว่าดีจริง รวมถึงมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจ ซึ่งนั่นหมายถึงว่า การมีเว็บไซต์ของตัวเอง มีบิวตี้บล๊อคเกอร์ หรือผู้ใช้คนอื่นๆ รีวิวสินค้าของเรา จะช่วยให้สินค้าขายดีขึ้นได้มากเลยทีเดียว

หมายเหตุ : ทำไมเราถึงพูดถึงเว็บไซต์…? เวลาคุณต้องการหาข้อมูลอะไรสักอย่างที่คุณอยากรู้ คุณจะใช้เครื่องมืออะไรในการค้นหา?  ตอบด้วยคำถามว่า ถ้าเป็นคุณ คุณจะเข้า Facebook หรือ Google… แน่นอนว่า คุณน่าจะตอบว่า อยากรู้อะไรก็ถามอากู๋ใช่มั้ยล่ะคะ แล้วถ้าเราไม่มีเว็บไซต์ หรือไม่มีใครพูดถึงเราในเว็บต่างๆ ถ้าลูกค้าอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม จะหาเราเจอได้ยังไง? จริงมั้ยคะ? facebook เหมาะที่จะสร้างการรับรู้ ให้คนรู้จักเรา แต่เว็บไซต์เหมาะที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ

3. Purchase หมายถึง การซื้อ  ความสำเร็จของการขายจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ ถ้ารู้ค้ารู้จักเราแล้ว แต่ลังเลว่าจะซื้อสินค้าจากเราดีมั้ยนะ เราต้องเพิ่มฟิลลิ่ง เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกว่าควรจ่ายเงินซื้อได้แล้ว เพราะคนส่วนซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ ถ้าเรากระตุ้นอารมณ์ได้ ยอดขายก็พุ่งแน่นอน เช่น การสร้างระยะเวลาจำกัดให้กับลูกค้า ด้วยคำพูดเช่น สินค้ามีจำนวนจำกัด, 10 ชุดสุดท้าย หมดแล้วรออีกทีเป็นเดือนๆ หรือ โปรโมชั่นล่อตาล่อใจ เช่น ซื้อวันนี้รับส่วนลดทันที 10%

4. Retention หมายถึง การรักษาลูกค้า สร้างความภักดีกับลูกค้าให้มาแวะซื้อหรือใช้บริการเราบ่อยๆ
แพคเกจจิ้งที่ดีช่วยให้การซื้อครั้งแรกเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าเครื่องสำอางของเราดีจริง จึงจะทำให้เกิดการซื้อซ้ำ การเอาใจใส่ลูกค้า จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น ความเชื่อถือต่อสินค้ามากขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าแพคเกจจิ้งห่วย ต่อให้เครื่องสำอางดีแค่ไหน ลูกค้าก็อาจจะไม่ซื้อซ้ำเหมือนกัน ด้วยเหตุผลเช่น กระปุกครีมเปิดยาก ปิดไม่สนิท ฝาปีนเกลียว หรือขวดปั๊มใช้ไปไม่กี่ทีหัวปั๊มก็พัง ปั๊มครีมไม่ขึ้น… ครีมดีแค่ไหนใครจะอยากซื้อซ้ำจริงมั้ยคะ

5. Brand Advocacy หมายถึง เป็นกองเชียร์  Influencer และ Brand Advocacy มีข้อแตกต่างกันเเล็กน้อย  Influencer หมายถึงเหล่าคนดัง คนมีชื่อเสียง ส่วน Brand Advocacy มีทั้งคนดัง และคนธรรมดาที่คอยเป็นกองเชียร์ให้แบรนด์ โดยไม่ที่แบรนด์ไม่ต้องเสียเงินจ้าง หลายครั้งที่แบรนด์สามารถเกิดกระแสในโลกออนไลน์ได้จากการที่คนทั่วไปพูดถึง ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องวางแผนกลยุทธให้ดีว่า ทำอย่างไรจะให้คนส่วนใหญ่เชียร์สินค้าของเรา เพราะอย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ผู้บริโภคยุคนี้ฉลาดมากขึ้น และเชื่อแบรนด์น้อยลง แต่เชื่อสิ่งที่คนอื่นบอก

สรุปคือ Consumer Journey เริ่มจากทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายก่อน เราต้องรู้ว่าพวกเค้าอยู่ที่ไหน ต้องการอะไร การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน มักจะถูกกำหนดโดย Social Media และ Influencer ดังนั้น ถ้าสินค้าดีตั้งแต่ภายนอก คือแพคเกจจิ้งดูดี จะทำให้เกิดลูกค้ารายใหม่ๆ ตัดสินใจซื้อตั้งแต่แรกเห็น ส่วนตัวสินค้าเองก็ต้องมีคุณภาพที่ดีมากพอจนทำให้เกิดการซื้อซ้ำ และที่สำคัญต้องทำให้เกิดการบอกต่อให้ได้ว่า สินค้าของเราดีจริงๆ เพียงแค่นี้ก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้วล่ะค่ะ

เป็นไงกันบ้างคะ เคล็ดลับขายครีมออนไลน์จากเรา
หวังว่าจะทำให้คุณลูกค้าของ Wisdompak ขายดี ร่ำรวยกันถ้วนหน้านะคะ

 

 

ติดต่อขอเข้าชมสินค้า กระปุกครีม ขวดปั๊ม เกรดพรีเมียมจาก Wisdompak
โทร 026182227, 0954502465, 0926054451, 0915095641
e-mail : info.wisdompak@gmail.com

Line ID : @WISDOMPAK คลิ๊กเลย!!!